1/05/2551
อินเตอร์เนตเพื่อการเรียนรู้ไร้ขีดจำกัด
อินเตอร์เนตคือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน ผ่านทางโปรโตคอล TCP/IP ที่ใช้ในการเชื่อมต่อมาตรฐานเดียวกัน แต่ยังมีเทคโนโลยีที่สำคัญที่ทำให้อินเตอร์เป็นจริง ใช้งานได้ดีก็คือ เทคโนโลยีเวิร์ลไวด์เว็ป ซึ่งใช้ไฮเปอร์เท็กซ์ ไฮเปอร์มีเดีย และมัลติมีเดีย และที่สำคัญยิ่งก็คือทางวิ่งของโปรแกรมคือระบบปฏิบัติการ ซึ่งก็หนีไม่พ้นต้องเป็นไมโครซอพท์วินโดว์ แม้จะมีระบบปฏิบัติการลีนุก แต่การติดต่อกับผู้ใข้ และการติดต่ออุปกรณ์ยังไม่ดีเท่า จึงยังไม่ได้รับความนิยม ปัจจุบันอินเตอร์เนตเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น ยิ่งใช้มากก็อาจเห็นประโยชน์ทั้งด้านการประกอบอาชีพและเพื่อความบันเทิง มีตัวอย่างคนนครผู้หนึ่งแม้ไม่ได้จบการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ แต่เห็นความสำคัญนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งลงทุนซื้อระบบคอมพิวเตอร์ และฐานข้อมูลทางธุรกิจ จนทำให้ประสบผลสำเร็จ จากการเห็นประโยชน์ของข้อมูล ทางการค้าและธุรกิจ นำมาตัดสินใจในการลงทุน นับร้อยล้านมีคอมพิวเตอร์ที่ติดต่ออินเตอร์เนตรูปใดรูปหนึ่ง ทางพ็อกเก็ต พีซี โน้ตบุค หรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตึ้งโต๊ะ ถือว่าเป็นความจำเป็นในภาวะปัจจุปัน ลูกได้ใช้เรียนรู้ เล่นเกมส์ ดูหนัง ฟังเพลง คาราโอเกะได้ ตัดต่อตกแต่งภาพ จดหมาย ถึง กัน ส่งรูปให้ดูกันไม่ว่าอยู่มุมไหนของโลกได้ คุณยายในเกาหลีส่งอีเมลถึงหลาน ในเกาหลีมีการใช้อินเตอร์เนตหนาแน่นมากที่สุดประเทศหนึ่งมากกว่า 40 เปอร์เซ็นใช้อินเตอร์เนตโอมเพจซ์ก็ไม่ใช่อะไรอื่นเป็นหน้าแรกที่เจ้าของเตรียมไว้ให้ผู้ใช้เข้ามาติดต่อ มาดูมาเยี่ยมชม ดังนั้นใครคิดที่จะสร้างโฮมเพจซ์จะต้องมีดีที่อยากโชว หรืออยากแลกเปลี่ยนความรู้ หรือโฆษณาซื้อขาย กันทางอินเตอร์เนตจ่ายเงินผ่านทางบัตรเครดิต จึงเป็นที่มาอีกอย่างว่าใครเข้าไปชมโฮมเพจซ์หรือเว็ปไซต์ไหนมากแสดงว่าน่าสนใจ หรือมีอะไรดีมาบอก ให้เรียนรู้ หรือให้ความบันเทิงดี จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงให้บริหารอีเมลล์ฟรี เพราะเมื่อเข้ามามากๆ ก็จะได้ค่าโฆษณาอีก ความจริงส่วนใดอันที่มานำเสนอผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เรียกว่าเว็บเพจซ์ทั้งนั้น แต่ถ้าพูดถึงเว็ปไซต์ก็หมายถึงที่ตั้งของเว็ปหรือโฮมเพจซ์ที่เป็นทางการหน่อย อาจจะอยู่ในลักษณะเครือข่ายก็ได้สุดท้ายอีเลินนิ่ง เกือบทุกมหาวิทยาลัยทั่วโลก มีเว็ปไซต์ของตัวเอง และมักจะมีอีเลินนิ่งให้ผู้ที่เข้าไปเยี่ยมชมได้เข้าไปศึกษา รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยไม่ต้องเสียเงิน ได้รู้ว่ามหาวิทยาลัยไหนเก่งทางด้านไหน ก็มักจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบ กำลังศึกษาเรื่องใดก็พอทราบได้จากเว็ปไซต์ กล่าวได้ว่าอินเตอร์เนตเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่ง ในการเรียนรู้ตามที่ชอบ มีอะไรฟรีอีกมาก โดยเฉพาะความรู้ที่มากจนยากแก่การคัดเลือก และเมื่อรู้อะไรดีเพื่อแผ่ให้ผู้อื่นก็ทางอินเตอร์เนตเป็นเวทีในการแสดงความคิดเห็น ช่วยแก้ปัญหา หาคำตอบให้กับผู้ที่แสวงหาอยู่เสมอ
เทคโนโลยีจัดการความรู้
เทคโนโลยีที่เอื้ออำนวยการจัดความรู้ให้สะดวกรวดเร็ว 3 ประการคือ โทรศัพท์ การประชุมทางไกลผ่านจอวิดีโอ และคอมพิวเตอร์ ช่วยให้มนุษย์ถ่ายทอดความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวให้คนอื่นรับรู้ ทำให้พนักงาน บุคลากรในองค์กรได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ แม้จะอยู่ห่างไกลกัน ก็อาจช่วยแก้ปัญหาเดียวกันได้
เทคโนโลยีสำหรับล้วงหาความรู้ ใช้เก็บรักษาความรู้ และใช้สำหรับกระจายความรู้ไปให้ทุกคนได้นำไปใช้อย่างทั่วถึง วัตถุประสงค์หลักของเทคโนโลยีเหล่านี้ การนำความรู้ในตัวมนุษย์ หรือในเอกสารต่างๆออกมาเผยแพร่ ให้ทุกคนในองค์กรได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึง ข้อมูลกับสารสนเทศจะเปลี่ยนไปเป็นความรู้ได้ตามคุณค่าที่เราใส่เพิ่มลงไป เช่นปริบท ประสบการณ์ และการตีความ ด้วยเหตุนี้เทคโนโลยีสารสนเทศจึงเหมาะสมกับการจัดการความรู้ มีความสามารถจับความหมายที่เพิ่มคุณค่าให้กับข้อมูล สารสนเทศจนกลายเป็นความรู้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ความจริง ปริมาณ และเกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล แต่การจัดการความรู้จำเป็นต้องประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ไม่ว่าข้อมูลมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้การมีปฏิสัมพันธ์ และการจำลองแบบ และสถานะการณ์ ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายกว่าในการดำเนินการจากสถานะการณ์จริง
สิ่งที่ตามมานั่นคือระดับความรู้ของผู้ที่จะใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นได้อย่างประสบผลสำเร็จ จะต้องใช้ความชำนาญในเรื่องนั้นดีพอควร
เทคโนโลยีการใช้บล็อก การเขียนบล้อกและแสดงความคิดเห็นในอินเตอร์เนตเป็นการจัดการความรู้อย่างหนึ่งที่ทำให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระจายความรู้ได้เป็นอย่างดี
เทคโนโลยีสำหรับล้วงหาความรู้ ใช้เก็บรักษาความรู้ และใช้สำหรับกระจายความรู้ไปให้ทุกคนได้นำไปใช้อย่างทั่วถึง วัตถุประสงค์หลักของเทคโนโลยีเหล่านี้ การนำความรู้ในตัวมนุษย์ หรือในเอกสารต่างๆออกมาเผยแพร่ ให้ทุกคนในองค์กรได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึง ข้อมูลกับสารสนเทศจะเปลี่ยนไปเป็นความรู้ได้ตามคุณค่าที่เราใส่เพิ่มลงไป เช่นปริบท ประสบการณ์ และการตีความ ด้วยเหตุนี้เทคโนโลยีสารสนเทศจึงเหมาะสมกับการจัดการความรู้ มีความสามารถจับความหมายที่เพิ่มคุณค่าให้กับข้อมูล สารสนเทศจนกลายเป็นความรู้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ความจริง ปริมาณ และเกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล แต่การจัดการความรู้จำเป็นต้องประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ไม่ว่าข้อมูลมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้การมีปฏิสัมพันธ์ และการจำลองแบบ และสถานะการณ์ ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายกว่าในการดำเนินการจากสถานะการณ์จริง
สิ่งที่ตามมานั่นคือระดับความรู้ของผู้ที่จะใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นได้อย่างประสบผลสำเร็จ จะต้องใช้ความชำนาญในเรื่องนั้นดีพอควร
เทคโนโลยีการใช้บล็อก การเขียนบล้อกและแสดงความคิดเห็นในอินเตอร์เนตเป็นการจัดการความรู้อย่างหนึ่งที่ทำให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระจายความรู้ได้เป็นอย่างดี
แนวคิดการแก้ไขปัญหาจราจร
เมื่อเร็วๆนี้ได้ยินการแก้ปัญหาอุบัติเหตุจากรถจักรยานในประเทศญี่ปุ่น การแก้ปัญหามาจากข้อมูลสำรวจว่ามีอุบัติเหตุเกิดเพิ่มขึ้น 5 เท่าเข้าใจว่าคงจะมีรายละเอียดด้วยว่าจากสาเหตุอะไรบ้าง จึงได้มีมาตรการทางกฏหมายออกมา 3 ข้อคือ 1) คนที่ขับขี่จักรยานจะต้องไม่ถือมือถือในอีกมือขณะที่ขับขี่จักรยาน 2) ขณะที่ขับขี่จักรยานนั้นต้องไม่ใช้เครื่องฟังเพลงเครื่องรับวิทยุ ไม่ให้มีหูฟังขณะขับขี่ 3) ถ้าฝนตกไม่ให้ใช้ร่มแต่ให้ใช้เสื้อกันฝนแทน
จากมาตรการข้อ 1,2 นั้นเป็นวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปแล้วก่อให้เกิดอันตรายมีส่วนก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่นเดียวกับเมืองไทยเช่นกันอุบัติเหตุน่าจะเนื่องมาจากการใช้โทรศัพท์และอุปกรณ์ฟังเพลง ทำให้ผู้ขับขี่จักรยานรวมทั้งจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย แม้ว่าประเทศเราจะไม่มีการบังคับทางกม. แต่ก็ควรระวังหลีกเลี่ยงไม่ใช้โทรศัพท์และ ใช้หูฟังฟังเสียงต่างๆ สำหรับมาตรการในข้อ 3 ก็เช่นเดียวกันเพราะการใช้ร่มอาจไปบังเส้นทางทำให้มองทางข้างหน้าไม่เห็นและทำให้ผู้ขับขี่เสียการทรงตัวได้ง่าย เนื่องจากกระแสลม การบังคับไม่ให้ใช้ร่มก็ดูมีเหตุผลทำให้เกิดอุบัติเหตุน้อยลง
สำหรับในอเมริกามาตรการทางกฏหมายเข้มงวดมาก เริ่มตั้งแต่การขอใบขับขี่ที่จะต้องสอบให้ผ่านอย่างเข้มงวดทั้งข้อเขียนและภาคปฏิบัติ และการจับคนที่ขับขี่ผิดกฏจราจรอย่างไม่ไว้หน้าไม่ว่าจะผิดเล็กผิดน้อย จะถูจับเสียค่าปรับทั้งสิ้น และตำรวจจราจรก็มีอยู่เหมือนตาสัปรด เช่นไฟหน้าติดด้านเดียว ลากรถกันก็ไม่ได้ต้องใช้รถลากเฉพาะ ขับขี่ความเร็วเกินไม่ได้เลย ในเมืองจะมีความเร็วสูงสุดต่ำกว่าในเมืองต้องระวังให้ดี เพราะอาจเผลอได้ เช่นในบ้านเราบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยถือว่าเป็นความเร็วย่านชุมชนความเร็วสูงสุดที่ขับได้ไม่เกิด 50 กมต่อชม.เท่านั้น และการขับขี่รถยนต์ฝ่าไฟแดงถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าถูกจับมีโทษถึงจำคุกต้องไปขึ้นศาลถูกยึดใบขับขี่ และต้องไปเข้าโรงเรียนฝึกอบรมกฏจราจร
เช่นเดียวกันจากผลงานวิจัยในอะเมริกาพบว่าสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดคือการดื่มเหล้าแล้วขับรถ ส่วนความเร็วมีส่วนให้เกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าจึงมีมาตรการทางกฏหมาย โดยการเพิ่มโทษ ยึดใบขับขี่ ส่วนเรื่องความเร็วในบางรัฐเมื่อผลการสำรวจว่ามีอุบัติเหตุน้อยก็เพิ่มความเร็วสูงสุดขึ้น โดยทั่วไปในอเมริกาความเร็วสูงสุดจะไม่เกิด 70 ไมล์ต่อชั่วโมง บางรัฐจะให้สูงถึง 75 ไมล์ต่อชั่วโมงถ้าผลสำรวจอุบัติเหตุน้อยเช่นรัฐมิสซูรีเป็นต้น (ในอเมริกายังใช้ไมล์ต่อชั่วโมงมากกว่า กม.ต่อชม.)
ไม่ต้องพูดถึงในเรื่องการรัดเข็มขัด และการใส่หมวกกันน็อค ที่เคารพกฏหมายกันดีเพราะตระหนักถึงความปลอดภัยของตัวเอง แต่บ้านเรากลับไม่ค่อยสนใจความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น แม้จะมีกฏหมายบังคับไว้ก็ฝ่าฝืนอยู่เสมอ เพราะการบังคับใช้กม. ทำได้ยาก ทางออกสำหรับประเทศเราก็ คือการศึกษา สถาบันการศึกษา ครู ผู้ปกครอง ห้างร้านบริษัทต้องช่วยเหลือกันไม่ทำผิดกฏจราจร เพราะมาตรการป้องกันดีกว่ามาตรการแก้ไขเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วแน่นอน เพียงแต่เราจะตระหนักกันหรือไม่
เมื่อเร็วๆนี้ได้ยินการแก้ปัญหาอุบัติเหตุจากรถจักรยานในประเทศญี่ปุ่น การแก้ปัญหามาจากข้อมูลสำรวจว่ามีอุบัติเหตุเกิดเพิ่มขึ้น 5 เท่าเข้าใจว่าคงจะมีรายละเอียดด้วยว่าจากสาเหตุอะไรบ้าง จึงได้มีมาตรการทางกฏหมายออกมา 3 ข้อคือ 1) คนที่ขับขี่จักรยานจะต้องไม่ถือมือถือในอีกมือขณะที่ขับขี่จักรยาน 2) ขณะที่ขับขี่จักรยานนั้นต้องไม่ใช้เครื่องฟังเพลงเครื่องรับวิทยุ ไม่ให้มีหูฟังขณะขับขี่ 3) ถ้าฝนตกไม่ให้ใช้ร่มแต่ให้ใช้เสื้อกันฝนแทน
จากมาตรการข้อ 1,2 นั้นเป็นวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปแล้วก่อให้เกิดอันตรายมีส่วนก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่นเดียวกับเมืองไทยเช่นกันอุบัติเหตุน่าจะเนื่องมาจากการใช้โทรศัพท์และอุปกรณ์ฟังเพลง ทำให้ผู้ขับขี่จักรยานรวมทั้งจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย แม้ว่าประเทศเราจะไม่มีการบังคับทางกม. แต่ก็ควรระวังหลีกเลี่ยงไม่ใช้โทรศัพท์และ ใช้หูฟังฟังเสียงต่างๆ สำหรับมาตรการในข้อ 3 ก็เช่นเดียวกันเพราะการใช้ร่มอาจไปบังเส้นทางทำให้มองทางข้างหน้าไม่เห็นและทำให้ผู้ขับขี่เสียการทรงตัวได้ง่าย เนื่องจากกระแสลม การบังคับไม่ให้ใช้ร่มก็ดูมีเหตุผลทำให้เกิดอุบัติเหตุน้อยลง
สำหรับในอเมริกามาตรการทางกฏหมายเข้มงวดมาก เริ่มตั้งแต่การขอใบขับขี่ที่จะต้องสอบให้ผ่านอย่างเข้มงวดทั้งข้อเขียนและภาคปฏิบัติ และการจับคนที่ขับขี่ผิดกฏจราจรอย่างไม่ไว้หน้าไม่ว่าจะผิดเล็กผิดน้อย จะถูจับเสียค่าปรับทั้งสิ้น และตำรวจจราจรก็มีอยู่เหมือนตาสัปรด เช่นไฟหน้าติดด้านเดียว ลากรถกันก็ไม่ได้ต้องใช้รถลากเฉพาะ ขับขี่ความเร็วเกินไม่ได้เลย ในเมืองจะมีความเร็วสูงสุดต่ำกว่าในเมืองต้องระวังให้ดี เพราะอาจเผลอได้ เช่นในบ้านเราบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยถือว่าเป็นความเร็วย่านชุมชนความเร็วสูงสุดที่ขับได้ไม่เกิด 50 กมต่อชม.เท่านั้น และการขับขี่รถยนต์ฝ่าไฟแดงถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าถูกจับมีโทษถึงจำคุกต้องไปขึ้นศาลถูกยึดใบขับขี่ และต้องไปเข้าโรงเรียนฝึกอบรมกฏจราจร
เช่นเดียวกันจากผลงานวิจัยในอะเมริกาพบว่าสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดคือการดื่มเหล้าแล้วขับรถ ส่วนความเร็วมีส่วนให้เกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าจึงมีมาตรการทางกฏหมาย โดยการเพิ่มโทษ ยึดใบขับขี่ ส่วนเรื่องความเร็วในบางรัฐเมื่อผลการสำรวจว่ามีอุบัติเหตุน้อยก็เพิ่มความเร็วสูงสุดขึ้น โดยทั่วไปในอเมริกาความเร็วสูงสุดจะไม่เกิด 70 ไมล์ต่อชั่วโมง บางรัฐจะให้สูงถึง 75 ไมล์ต่อชั่วโมงถ้าผลสำรวจอุบัติเหตุน้อยเช่นรัฐมิสซูรีเป็นต้น (ในอเมริกายังใช้ไมล์ต่อชั่วโมงมากกว่า กม.ต่อชม.)
ไม่ต้องพูดถึงในเรื่องการรัดเข็มขัด และการใส่หมวกกันน็อค ที่เคารพกฏหมายกันดีเพราะตระหนักถึงความปลอดภัยของตัวเอง แต่บ้านเรากลับไม่ค่อยสนใจความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น แม้จะมีกฏหมายบังคับไว้ก็ฝ่าฝืนอยู่เสมอ เพราะการบังคับใช้กม. ทำได้ยาก ทางออกสำหรับประเทศเราก็ คือการศึกษา สถาบันการศึกษา ครู ผู้ปกครอง ห้างร้านบริษัทต้องช่วยเหลือกันไม่ทำผิดกฏจราจร เพราะมาตรการป้องกันดีกว่ามาตรการแก้ไขเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วแน่นอน เพียงแต่เราจะตระหนักกันหรือไม่ -->
จากมาตรการข้อ 1,2 นั้นเป็นวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปแล้วก่อให้เกิดอันตรายมีส่วนก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่นเดียวกับเมืองไทยเช่นกันอุบัติเหตุน่าจะเนื่องมาจากการใช้โทรศัพท์และอุปกรณ์ฟังเพลง ทำให้ผู้ขับขี่จักรยานรวมทั้งจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย แม้ว่าประเทศเราจะไม่มีการบังคับทางกม. แต่ก็ควรระวังหลีกเลี่ยงไม่ใช้โทรศัพท์และ ใช้หูฟังฟังเสียงต่างๆ สำหรับมาตรการในข้อ 3 ก็เช่นเดียวกันเพราะการใช้ร่มอาจไปบังเส้นทางทำให้มองทางข้างหน้าไม่เห็นและทำให้ผู้ขับขี่เสียการทรงตัวได้ง่าย เนื่องจากกระแสลม การบังคับไม่ให้ใช้ร่มก็ดูมีเหตุผลทำให้เกิดอุบัติเหตุน้อยลง
สำหรับในอเมริกามาตรการทางกฏหมายเข้มงวดมาก เริ่มตั้งแต่การขอใบขับขี่ที่จะต้องสอบให้ผ่านอย่างเข้มงวดทั้งข้อเขียนและภาคปฏิบัติ และการจับคนที่ขับขี่ผิดกฏจราจรอย่างไม่ไว้หน้าไม่ว่าจะผิดเล็กผิดน้อย จะถูจับเสียค่าปรับทั้งสิ้น และตำรวจจราจรก็มีอยู่เหมือนตาสัปรด เช่นไฟหน้าติดด้านเดียว ลากรถกันก็ไม่ได้ต้องใช้รถลากเฉพาะ ขับขี่ความเร็วเกินไม่ได้เลย ในเมืองจะมีความเร็วสูงสุดต่ำกว่าในเมืองต้องระวังให้ดี เพราะอาจเผลอได้ เช่นในบ้านเราบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยถือว่าเป็นความเร็วย่านชุมชนความเร็วสูงสุดที่ขับได้ไม่เกิด 50 กมต่อชม.เท่านั้น และการขับขี่รถยนต์ฝ่าไฟแดงถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าถูกจับมีโทษถึงจำคุกต้องไปขึ้นศาลถูกยึดใบขับขี่ และต้องไปเข้าโรงเรียนฝึกอบรมกฏจราจร
เช่นเดียวกันจากผลงานวิจัยในอะเมริกาพบว่าสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดคือการดื่มเหล้าแล้วขับรถ ส่วนความเร็วมีส่วนให้เกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าจึงมีมาตรการทางกฏหมาย โดยการเพิ่มโทษ ยึดใบขับขี่ ส่วนเรื่องความเร็วในบางรัฐเมื่อผลการสำรวจว่ามีอุบัติเหตุน้อยก็เพิ่มความเร็วสูงสุดขึ้น โดยทั่วไปในอเมริกาความเร็วสูงสุดจะไม่เกิด 70 ไมล์ต่อชั่วโมง บางรัฐจะให้สูงถึง 75 ไมล์ต่อชั่วโมงถ้าผลสำรวจอุบัติเหตุน้อยเช่นรัฐมิสซูรีเป็นต้น (ในอเมริกายังใช้ไมล์ต่อชั่วโมงมากกว่า กม.ต่อชม.)
ไม่ต้องพูดถึงในเรื่องการรัดเข็มขัด และการใส่หมวกกันน็อค ที่เคารพกฏหมายกันดีเพราะตระหนักถึงความปลอดภัยของตัวเอง แต่บ้านเรากลับไม่ค่อยสนใจความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น แม้จะมีกฏหมายบังคับไว้ก็ฝ่าฝืนอยู่เสมอ เพราะการบังคับใช้กม. ทำได้ยาก ทางออกสำหรับประเทศเราก็ คือการศึกษา สถาบันการศึกษา ครู ผู้ปกครอง ห้างร้านบริษัทต้องช่วยเหลือกันไม่ทำผิดกฏจราจร เพราะมาตรการป้องกันดีกว่ามาตรการแก้ไขเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วแน่นอน เพียงแต่เราจะตระหนักกันหรือไม่
เมื่อเร็วๆนี้ได้ยินการแก้ปัญหาอุบัติเหตุจากรถจักรยานในประเทศญี่ปุ่น การแก้ปัญหามาจากข้อมูลสำรวจว่ามีอุบัติเหตุเกิดเพิ่มขึ้น 5 เท่าเข้าใจว่าคงจะมีรายละเอียดด้วยว่าจากสาเหตุอะไรบ้าง จึงได้มีมาตรการทางกฏหมายออกมา 3 ข้อคือ 1) คนที่ขับขี่จักรยานจะต้องไม่ถือมือถือในอีกมือขณะที่ขับขี่จักรยาน 2) ขณะที่ขับขี่จักรยานนั้นต้องไม่ใช้เครื่องฟังเพลงเครื่องรับวิทยุ ไม่ให้มีหูฟังขณะขับขี่ 3) ถ้าฝนตกไม่ให้ใช้ร่มแต่ให้ใช้เสื้อกันฝนแทน
จากมาตรการข้อ 1,2 นั้นเป็นวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปแล้วก่อให้เกิดอันตรายมีส่วนก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่นเดียวกับเมืองไทยเช่นกันอุบัติเหตุน่าจะเนื่องมาจากการใช้โทรศัพท์และอุปกรณ์ฟังเพลง ทำให้ผู้ขับขี่จักรยานรวมทั้งจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย แม้ว่าประเทศเราจะไม่มีการบังคับทางกม. แต่ก็ควรระวังหลีกเลี่ยงไม่ใช้โทรศัพท์และ ใช้หูฟังฟังเสียงต่างๆ สำหรับมาตรการในข้อ 3 ก็เช่นเดียวกันเพราะการใช้ร่มอาจไปบังเส้นทางทำให้มองทางข้างหน้าไม่เห็นและทำให้ผู้ขับขี่เสียการทรงตัวได้ง่าย เนื่องจากกระแสลม การบังคับไม่ให้ใช้ร่มก็ดูมีเหตุผลทำให้เกิดอุบัติเหตุน้อยลง
สำหรับในอเมริกามาตรการทางกฏหมายเข้มงวดมาก เริ่มตั้งแต่การขอใบขับขี่ที่จะต้องสอบให้ผ่านอย่างเข้มงวดทั้งข้อเขียนและภาคปฏิบัติ และการจับคนที่ขับขี่ผิดกฏจราจรอย่างไม่ไว้หน้าไม่ว่าจะผิดเล็กผิดน้อย จะถูจับเสียค่าปรับทั้งสิ้น และตำรวจจราจรก็มีอยู่เหมือนตาสัปรด เช่นไฟหน้าติดด้านเดียว ลากรถกันก็ไม่ได้ต้องใช้รถลากเฉพาะ ขับขี่ความเร็วเกินไม่ได้เลย ในเมืองจะมีความเร็วสูงสุดต่ำกว่าในเมืองต้องระวังให้ดี เพราะอาจเผลอได้ เช่นในบ้านเราบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยถือว่าเป็นความเร็วย่านชุมชนความเร็วสูงสุดที่ขับได้ไม่เกิด 50 กมต่อชม.เท่านั้น และการขับขี่รถยนต์ฝ่าไฟแดงถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าถูกจับมีโทษถึงจำคุกต้องไปขึ้นศาลถูกยึดใบขับขี่ และต้องไปเข้าโรงเรียนฝึกอบรมกฏจราจร
เช่นเดียวกันจากผลงานวิจัยในอะเมริกาพบว่าสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดคือการดื่มเหล้าแล้วขับรถ ส่วนความเร็วมีส่วนให้เกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าจึงมีมาตรการทางกฏหมาย โดยการเพิ่มโทษ ยึดใบขับขี่ ส่วนเรื่องความเร็วในบางรัฐเมื่อผลการสำรวจว่ามีอุบัติเหตุน้อยก็เพิ่มความเร็วสูงสุดขึ้น โดยทั่วไปในอเมริกาความเร็วสูงสุดจะไม่เกิด 70 ไมล์ต่อชั่วโมง บางรัฐจะให้สูงถึง 75 ไมล์ต่อชั่วโมงถ้าผลสำรวจอุบัติเหตุน้อยเช่นรัฐมิสซูรีเป็นต้น (ในอเมริกายังใช้ไมล์ต่อชั่วโมงมากกว่า กม.ต่อชม.)
ไม่ต้องพูดถึงในเรื่องการรัดเข็มขัด และการใส่หมวกกันน็อค ที่เคารพกฏหมายกันดีเพราะตระหนักถึงความปลอดภัยของตัวเอง แต่บ้านเรากลับไม่ค่อยสนใจความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น แม้จะมีกฏหมายบังคับไว้ก็ฝ่าฝืนอยู่เสมอ เพราะการบังคับใช้กม. ทำได้ยาก ทางออกสำหรับประเทศเราก็ คือการศึกษา สถาบันการศึกษา ครู ผู้ปกครอง ห้างร้านบริษัทต้องช่วยเหลือกันไม่ทำผิดกฏจราจร เพราะมาตรการป้องกันดีกว่ามาตรการแก้ไขเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วแน่นอน เพียงแต่เราจะตระหนักกันหรือไม่ -->
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)