การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ นั้นเป็นความพยายามที่ต้องการให้เข้าใจธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง โดยพยายามที่จะอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และสิ่งที่เป็นอยู่ว่ามีที่ไปที่มาอย่างไร ตลอดจนพยายามหาว่าต่อไปในอนาคตจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่เราเรียกว่าทฤษฎีที่พยายามจะอธิบายและพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามเงื่อนไขที่กำหนด จากความพยายามอันเกิดจากความอยากรู้อยากเห็น พยายามหาคำตอบที่สงสัย ทำให้มนุษย์ได้ค้นพบหลัก กฏเกณฑ์ของธรรมชาติที่ทำให้ จักรวาลหรือโลกเราดำรงอยู่ได้ในปัจจุบัน ยิ่งมนุษย์เข้าใจกฏเกณฑ์ทางธรรมชาติมากเท่าใดก็จะช่วยให้มนุษย์นั้นควบคุมที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติสอดคล้องผสมกลมกลืนได้มากเท่านั้น เพราะมนุษย์เมื่อรู้ธรรมชาติที่แท้จริงได้มากเท่าใดก็จะสามารถพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเม่นยำ
ในความพยายามของมนุษย์ ต้องการให้ทราบว่าการกระทำใดส่งผลให้เกิดอะไร ซึ่งทำให้มนุษย์จะต้องควบคุมการกระทำของตนเองมากขึ้นในแนวทางที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อธรรมชาติ และมนุษย์เองก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งก็คือเกิดความเสียหายแก่มนุษย์ด้วย อย่างไรก็ตามมีหลายอย่างที่มนุษย์ยังศึกษาไปไม่ถึง หรือยังหาคำตอบไม่ได้ หรือหาคำอธิบายเพิ่มเติมไม่ได้ก็ มักจะตอบว่าธรรมชาติเป็นเช่นนั่นเอง หรือสั้นๆ ว่าเป็นเช่นนั้นเอง หรือเป็นที่มันเป็น แต่ถ้าศึกษาเรียนรู้ต่อไปเราก็จะเข้าใจธรรมชาติส่วนนั้นเพิ่มขึ้นอีก ทำให้บางคนอาจเข้าใจว่าอะไรที่เราศึกษาเข้าใจกระบวนการ เข้าใจกลไกแล้วว่าเป็นเหมือนไม่ใช่ธรรมชาติ แต่ที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจว่ายังคงเป็นธรรมชาติ
สิ่งที่อาจทำให้สับสนระหว่างธรรมชาติกับวิทยาศาสตร์ ก็คืออะไรที่มนุษย์ทำขึ้น ประดิษฐ์ขึ้น ทุกอย่างก็ล้วนมาจากธรรมชาติ แต่ได้อาศัยหลักการธรรมชาติ หรือเลียนแบบธรรมชาติมาผลิตเป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ซึ่งมองในแง่นี้ก็มักจะเข้าใจว่าไม่ใช่ธรรมชาติ หรืออะไรที่มนุษย์ทำขึ้นมาแล้วไม่ใช่ธรรมชาติ ที่อาจส่งผลทำให้คิดเลยไปว่าสิ่งที่ยังไม่เข้าใจเป็นอำนาจลึกลับ ของภูตผีปีศาจได้ ในความเป็นจริงนั้นวิทยาศาสตร์พยายามที่จะค้นหาความจริงของธรรมชาติทั้งหลาย หรือรู้ระเบียบของธรรมชาติ โดยต้องมีกระบวนการแสวงหาระเบียบและความจริงเหล่านั้น อันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปที่จะเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์และ ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องอยู่เสมอ จนกล่าวได้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีความเป็นสากลอยู่ในตัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น